top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนPsychologist Chair

เมื่อซุปเปอร์ฮีโร่หมายถึงอำนาจในการสร้างรูปธรรมของความดีและความชั่วภายใต้โลกสีเทา

การมาพร้อมกันของคำถามที่สั่นคลอนการดำรงไว้ซึ่งนิยามของความดี และความปรารถนาในการเข้าไปอยู่ในใจของใครซักคน ของ Sheldon Sampson จากซีรี่ย์ Jupiter’s Legacy

.


.


ผมเพิ่งดูซีรี่ย์เรื่อง Jupiter’s Legacy จบเมื่อไม่นานมานี้ และมีประเด็นที่น่าสนใจอยากที่จะเขียนหลังจากดูจบซักหน่อย ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเนื้อหาของบทความนี้มีสปอยล์เนื้อเรื่องของซีรี่ย์ และผมคงไม่ได้เขียนเชิงวิชาการมากเท่าไรแต่เป็นมุมมองที่ผมมองเห็นว่าน่าสนใจในซีรี่ย์เรื่องนี้ นั่นคือการสั่นคลอนความคิดเรื่องการยึดในกรอบของความดีที่มีอยู่ และการพยายามเป็นสัญลักษณ์แห่งความดีของฮีโร่

.

ในซีรี่ยเรื่องนี้มีตัวละครที่เยอะมาก และมีปมของเรื่องหลายจุด แต่ดูเหมือนจุดสำคัญที่ผมจับได้จะเป็นปมของตัวละครที่ชื่อ Sheldon Sampson หรือชื่อฮีโร่ของเขาก็คือ Utopian ซึ่งเขาเป็นเหมือนทั้งผู้นำของเหล่าฮีโร่ และนำพาคนอื่นๆ มาพบกับการได้พลังของฮีโร่มาใช้อีกด้วย

.

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเรื่องราวของ Sheldon ในเรื่องนี้คือเราจะเห็นถึงบทบาทที่แตกต่างหลากหลายของ Sheldon ตั้งแต่บทบาทของการเป็นลูกชาย เป็นน้องชาย เป็นผู้นำฮีโร่ และก็กลายมาเป็นพ่อคนที่ลูกๆ เข้าสู่วัยต่อต้านตั้งคำถามเกียวกับการเลี้ยงดูรวมถึง “หลักการ” ในการเป็นฮีโร่ของเขา

.

จริงๆ แล้วหลักการเรื่อง “ฮีโร่จะไม่ฆ่าคน” คงไม่ใช่หลักการที่แปลกไปซักเท่าไร เราคงคุ้นชินกับกฎนี้ของแบทแมนมาก่อน แต่ในเรื่องนี้แตกต่างออกไปเมื่อหลักการนี้ไม่ได้อยู่แค่กับคนคนเดียว แต่มันมาพร้อมกับการพยายามทำให้ฮีโร่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความดีในขณะที่โลกแห่งความจริงเริ่มแสดงให้เห็นความโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

.


ในตอนที่ผมได้ดูผมเองยังตั้งคำถามเช่นกันว่า “ถ้าหากวายร้ายเล่นถึงตายขนาดนี้ แล้วเราในฐานะฮีโร่จะยังคงรักษาหลักการไม่ฆ่าอยู่อีกมั้ย?” แน่นอนว่านี่เป็นเหมือนปมแรกของซีรี่ยเรื่องนี้ที่พยายามนำเสนอว่าหลักการของการกำหนดนิยามของความดีกำลังถูกสั่นคลอนในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

.


ถ้าดูเผินๆ เราคงได้แต่คิดว่า Sheldon เป็นคนที่หัวแข็งจนเกินไป แต่ลึกๆ แล้วเขาอาจไม่ได้หัวแข็งแบบสุดโต่งอย่างที่คิด เพราะเมื่อกลายเป็นว่าคนที่ฆ่าเป็นลูกชายของเขาเองเขาก็เริ่มถูกสั่นคลอนกับหลักการของตัวเองมากขึ้นจนเริ่มคิดว่าต้องฟังความเห็นคนอื่นบ้างแล้วก่อนที่จะเสียลูกชายไป ยังไงก็ตาม การรับฟังคนอื่นของเขานั้นดูไม่ง่ายเมื่อหลายอย่างผิดกับหลักการที่เขาเคยเชื่อมาตลอดชีวิต รวมทั้ง หลักการของเขาก็หลอมรวมเข้ากับตัวตนของเขาด้วย ทั้งบาดแผลใจของการสูญเสียพ่อต่อหน้าต่อตา และการรับรู้ความจริงว่าพ่อของเขาเป็นคนขูดรีดเอาเปรียบคนอื่น ดังนั้น ในขณะที่ Sheldon คำถามเกี่ยวกับการรักษาหลักการของตัวเอง เขาจึงเหมือนถูกตั้งคำถามกับการมีอยู่ (exist) ของตัวตนเขาด้วย

.


หากใครได้ดูซีรี่ย์เรื่องนี้แล้วจะคำพูดของนักบำบัดที่ Sheldon ที่บอกถึงประเด็นการดำรงอยู่ของเขาที่ชัดเจนว่า


“(การยึดติดในหลักการของ Sheldon) มันสร้างแนวทางการเป็นคนดีให้คุณ และมันได้ผลดีด้วย เพราะมันกำจัดความตายและการสูญเสียในชีวิตคุณ แต่ในสายงานคุณ มีความแน่นอน 100% ว่าพวกศัตรูจะพยายามพรากชีวิตไปจากคุณ... (เทียบกับ)ในวงการที่คล้ายๆ กัน อย่างทหารหรือผู้บังคับใช้กฎหมาย คนมีสิทธิ์ในการฆ่าเพื่อป้องกันตัวหรือปกป้องคนอื่น... แต่สำหรับคนใน Union Justice (สหภาพของกลุ่มฮีโร่) เมื่อพวกเขาเผชิญการคุกคามในระดับเดียวกัน (ถูกพรากชีวิต) พวกเขาต้องนึกถึงหลักการ ซึ่งก็เป็นอีกทางหนึ่งในการนึกถึงคุณ... คุณหวังจะมีชีวิตท่ามกลางคนที่คุณรัก ในแบบที่พ่อคุณทำไม่ได้”

.


และนั่นทำให้เราเห็นได้ชัดมากขึ้นว่าความปรารถนาในการเข้าไปอยู่ในใจของใครซักคนสำหรับ Sheldon ปรากฏอยู่ในแทบทุกอณูชีวิตของเขาไม่มากก็น้อย

.

.

.


ที่ผมบอกว่า “ใครซักคน” นั่นเพราะผมคิดว่า Sheldon ไม่ได้ต้องการที่จะดำรงอยู่ผ่านการอยู่ในใจของคนทุกคน ถึงแม้เขาจะพยายามสร้างให้ตัวเองและเหล่าฮีโร่เป็นสัญลักษณ์ก็ตาม แต่นั่นดูเหมือนเป็นการชดเชยทางอ้อมของความปรารถนาในการดำรงอยู่ในใจของคนที่เขารักมากกว่า สังเกตได้จากการที่เขาแทบไม่สนใจชื่อจริงของฮีโร่คนอื่นเลยนอกเหนือจากคนในครอบครัวของตัวเอง และการรับฟังคนในครอบครัวของตัวเองสำหรับเขาก็ยากลำบากแล้วเมื่อมันสั่นคลอนความเชื่อในการดำรงอยู่ของเขาไปพร้อมกันด้วย

.


สำหรับผม Sheldon คือคนที่ดำรงอยู่ด้วยการยึดติดหลักการและการอยู่ในใจของคนที่เขารัก แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองอย่างนี้เริ่มขัดแย้งกันเองอย่างที่เราเห็นซีรี่ย์ว่าเขารู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อลูกชายของเขากำลังจะกลายเป็นอีกคน (นอกจากลูกสาว) ที่ทอดทิ้งเขาไป Sheldon จึงกลายเป็นคนที่ถูกกระตุ้นจากความกลัวการสูญเสียจนเสียศูนย์ในเวลาต่อมาจนถึงขั้นต้องไปปรึกษากับนักบำบัดที่เป็นวายร้ายซึ่งพยายามฆ่าเขาเมื่อ 20 ปีก่อน!

.


จากในซีรี่ย์เราจะเห็นได้ว่า Sheldon มีความปรารถนาในการเข้าไปอยู่ในใจผู้คนอย่างมากตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้รับพลังมา เขาเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าของโรงงานที่พ่อและพี่ชายของเขาดูแลกิจการเป็นหลัก ในขณะที่เขาเป็นคนออกไปรับหน้ากับผู้คนรวมทั้งการพูดคุยกับพนักงานในโรงงานของตัวเองอย่างสนิทสนม เราสามารถสังเกตได้ว่าเขามักจะแตะที่ไหลของผู้คนไม่ว่าจะเป็นใคร ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นท่าทีเหมือนพวกนักการเมืองที่พยายามแสดงอำนาจอย่างน่าอึดอัด แต่สำหรับ Sheldon มันคือการพยายามสื่อสารให้คนที่อยู่กับเขาเชื่อใจและไว้วางใจ ซึ่งนั่นเหมือนจะบอกว่าขอให้เขาได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของคนที่เขาแตะไหล่ซักหน่อยเถอะ

.


ความปรารถนาในการเข้าไปอยู่ในใจของใครซักคนสำหรับ Sheldon ก็แสดงให้เห็นในความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาด้วย โดยแรกเริ่มคือความสัมพันธ์กับพ่อของเขา เขามักมีท่าทีอึดอัดและผิดหวังทุกครั้งที่พี่ชายของเขาพูดถึงความรักของพ่อที่มีต่อเขา เช่น เน็คไทด์ที่พ่อเขาเกลียดแต่ก็ยังใส่เพราะเขาซื้อให้ รวมไปถึงตอนที่พี่ชายของเขาบอกว่าเขาคือ “ลูกรักของพ่อ” เขาก็ถูกกระตุ้นจากคำพูดนั้นทันทีเหมือนมันเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยินจากปากพ่อมาตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเห็นพ่อโดดตึกตายต่อหน้าโดยที่เขาช่วยอะไรไม่ได้ และยังถูกพ่อของตนหลอกเกี่ยวกับด้านมืดที่พ่อเขาซ่อนเอาไว้อีกด้วย

.


หลังจากการสูญเสียพ่อของ Sheldon ทำให้เขาสะเทือนใจอย่างมาก และเริ่มมีอาการที่ในความเป็นจริงคงถือว่าเป็นอาการทางจิตที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักคือการเห็นภาพหลอนและมีความคิดหลงผิดไปจากความเป็นจริง Sheldon จึงกลายเป็นคนที่มีปมเกี่ยวกับพ่อและการสูญเสียก็ยิ่งทำให้ปมที่เขามีกับพ่อยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อพ่อของเขาไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เขาคิด เขาจึงต้องเผชิญกับความเกลียดชังในระดับจิตไร้สำนึกที่มีกับพ่อ และนั่นทำให้เขาแคลงใจถึงความรักที่เขามีกับพ่อ ความรักที่พ่อมีกับเขา ไปจนถึงคำถามที่เขามีกับตัวเองอีกว่า “ฉันเป็นลูกที่ไม่ดีพอหรอ?” (นี่จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาสนใจกับการที่พี่ชายบอกว่าเขาเป็นลูกรักของพ่อ)

.


ถ้าหากสิ่งนี้เกิดขึ้นในโลกความจริงเราคงเห็นเพียงการบำบัดรักษาคนที่มีอาการแบบ Sheldon แต่ในซีรี่ย์เหนือจริงแบบนี้ เขากลับได้รับโอกาสในการแก้ไขปมของตัวเองด้วยการได้มาซึ่งพลังอำนาจพิเศษที่เขาจะกำหนดความเป็นไปของโลกได้มากกว่าคนอื่นๆ โดยเขากลายเป็นคนที่ได้รับพลังพิเศษที่ฮีโร่คนอื่นๆ ต่างบอกว่าเขาแข็งแกร่งที่สุด และความแข็งแกร่งของเขาอาจสามารถกำหนดความเป็นไปให้โลกของเขาปราศจากสิ่งชั่วร้ายไปเลยก็ได้

.


การได้พลังของซุปเปอร์ฮีโร่มาของ Sheldon เป็นเหมือนฝันของใครหลายคนที่อยากจะสร้างรูปธรรมของความดีและความชั่วขึ้นมา และ Sheldon เองก็ทำแบบเดียวกัน โดยเขาเลือกจะตั้งสหพันธ์ของฮีโร่และมีหลักการสำคัญคือ “ห้ามฆ่า” เพื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ของความดีงามที่เขามีอยู่อย่างชัดเจน

.


แต่หลักการของเขาเป็นเพียงการสร้างสิ่งที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นรูปธรรมด้วยคำพูดไม่กี่คำ มันจึงไม่สามารถกลายเป็นหลักการที่สมบูรณ์ได้และพร้อมจะถูกตั้งคำถามเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไป สุดท้ายเขาจึงเหลือเพียงการทำให้คนอื่นมองเห็นว่าหลักการของเขานั้นล้าหลัง และขัดกับความเป็นจริงดังเช่นที่นักบำบัดของเขาบอกว่า


“โลกนี้วุ่นวายและเฮงซวยมาตลอด เพื่อนเอ้ย... ความเชื่อของคุณทำให้คุณมีความหวัง... มันถูกประกอบสร้างขึ้นเพื่อปกป้องคุณจากความเป็นจริง แต่ความเป็นจริงจะชนะเสมอ ไม่ว่าคุณจะกระเสือกกระสนแค่ไหน”


“ความถูกหรือผิดไม่ต่างกันงั้นหรอ?”


“ไม่ ผมแค่บอกว่าคุณอยู่ในโลกที่คุณสร้างขึ้น โลกแห่งสีขาวและสีดำ ดีและเลว และมันก็ปกป้องคุณมาตลอด... แต่มันใช้ไม่ได้กับโลกจริงๆ และการที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบเทาๆ ก็ด้วย”


.

.

.


ผมคิดว่า Sheldon ไม่ได้เป็นคนที่ตอบคำถามได้ดีพอจะทำให้คนอื่นเชื่อในหลักการของเขา และทำให้หลักการของเขาเหลือการพยายามยัดเยียดหลักการที่เขาผูกเข้ากับตัวตนของตัวเองให้คนอื่นๆ และกลายเป็นคนที่ดูจะอีโก้สูงจนไม่ฟังใคร แต่นั่นก็เพราะบาดแผลในใจของเขาทำให้เขายึดติดกับหลักการเหล่านี้ เมื่อถูกสั่นคลอนทางเดียวที่เขาทำได้คือการเกาะมันไว้แน่นรวมทั้งตำหนิหรือลดทอนคุณค่า (devalue) คนอื่นอีกด้วย

.


รูปแบบการปกป้องตัวเองจากแผลใจของการสูญเสียและการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เขารักทำให้เขายัดเยียดสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้องให้คนอื่นโดยไม่รับฟัง มันจึงปิดกั้นเขาจากการพิจารณาด้วยเหตุผลอย่างถี่ถ้วนเพื่อที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับหลักการของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหลักการของเขาถูกสั่นคลอนด้วยคนที่เขารักซะเองก็กลายเป็นว่าการปกป้องตัวเองของเขาเริ่มไม่ได้ผลอีกต่อไป (การที่ลูกๆ ของเขาเริ่มตั้งคำถามและเขาตอบไม่ได้ รวมทั้งยังใช้การปกป้องตัวเองแบบเดิมอีกคือการแยกระหว่างความดีและชั่วแบบสุดโต่งจนถึงขั้นลดทอนคุณค่าลูกของตัวเองด้วยการบอกว่าลูกของเขาไม่มีพร้อมจะเป็นฮีโร่และลูกชายต้องเป็น “Utopian” ต่อจากเขาเท่านั้น ยิ่งส่งผลให้ลูกเริ่มหนีห่างจากเขาและนั่นก็ย้อนกลับมาซ้ำแผลใจของเขาอีกครั้ง)

.


แล้วหลักการของ Sheldon นั้นผิดหรือล้าหลังหรือไม่ ถ้าหากมันเป็นเพียงสิ่งที่ Sheldon สร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองเท่านั้น?

.


ผมคิดว่าเราคงตอบคำถามข้างต้นไม่ได้ชัดเจนและเห็นเพียงความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (dilemma) ของเรื่องนี้ นั่นเพราะเราคงยากที่จะนิยามสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างความดีและความชั่วให้กลายเป็นรูปธรรมได้ เราจึงเหลือเพียงการใช้เหตุผลของเราเท่านั้นเพื่อสนับสนุนสิ่งที่เราเชื่อ ผมจึงไม่คิดว่าหลักการของ Sheldon นั้นผิดเนื่องจากการพยายามมองคนอื่นด้วยมุมมองแบบมนุษยนิยม (humanism) ของเขา เพียงแต่เขากลับถูกบดบังด้วยบาดแผลทางใจของตัวเองจนมองไม่เห็นความปรารถนา (needs) ที่ซ่อนอยู่ด้วยกันของตัวเอง นั่นคือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในใจผู้คนและต้องการปกป้องตัวเองจากการยอมรับความสูญเสียเอาไว้อีกไม่ไหว เขาจึงมองเห็นคนอื่นก่อนที่จะสำรวจความเจ็บปวดตัวเองจนกระทั่งละเลยว่าเขาได้ทำร้ายคนในครอบครัวอย่างไรบ้างผ่านพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยจิตไร้สำนึกของเขา (การทำตัวเองให้เป็นสัญลักษณ์ที่สู่การมองตัวเองเป็นอุดมคติที่คนอื่นไม่มีทางเทียบมาตรฐานได้ และการสร้างหลักการให้คนอื่นทำตามสู่การยัดเยียดอย่างโกรธเคืองเมื่อตอบคำถามไม่ได้)

.


ท้ายที่สุดแล้วผมจึงรู้สึกว่า Sheldon กำลังทุกข์ทรมานกับการเปลี่ยนผ่านบทบาท แต่คำถามเดิมยังคงวนซ้ำอยู่กับเขา นั่นคือคำถามที่ว่า “ฉันคือคนที่คนอื่นๆ รักมั้ย?” ไม่ว่าจะเป็นจากพ่อของเขาที่ตายไปแล้ว จากภรรยาของเขาที่เริ่มไม่เห็นด้วยกับเขา และโดยเฉพาะจากลูกของเขาที่เริ่มตีตัวออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผม Sheldon จึงเหมือนตกอยู่ในความทุกข์ของการพยายามอย่างมากในการตั้งคำถามและบางครั้งก็ตอบตัวเองเกี่ยวกับการเป็นลูก การเป็นสามี และการเป็นพ่อที่ “ดีพอ” แต่การที่เขาเลือกจะตอบตัวเองมากกว่าถามคนอื่นเพราะกลับความผิดพลาดหรือล้มเหลวแบบที่เขาช่วยพ่อไว้ไม่ได้ ความพยายามเป็นคนที่ดีพอของเขาจึงไม่พอดีเมื่ออยู่กับคนอื่นๆ (try to be good-enough never good-enough)

.


โดยสรุปอย่างง่าย ผมคิดว่า Sheldon ยึดติดอยู่กับหลักการของตัวเองเพราะกลัวจะถูกทอดทิ้ง และไม่ได้รับความสำคัญแบบเดียวกับที่พ่อเคยทำกับเขาจนเขาต้องทุกข์ทรมานอยู่กับความเกลียดชังพ่อของตนที่แก้ไขไม่ได้ และในตอนที่เขาเป็นพ่อคนเราจะเห็นได้ว่าเขาเริ่มที่จะรับฟังคนอื่นมากขึ้นเมื่อรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาปรารถนาความรักหรือให้คุณค่ากับคนที่เขารักมากแค่ไหนถึงแม้นั่นแผลที่เขาสร้างในครอบครัวจะเริ่มสาหัสก็ตาม

.


สำหรับคำตอบในการตั้งคำถามเรื่องการกำหนดกรอบของความดีและความชั่วในซีรี่ย์เรื่องนี้ ผมก็คงต้องยืนยันว่ามันเป็นเป็นเหมือน dilemma ที่ทำได้เพียงถกกันด้วยเหตุผลเช่นเดียวกับในอีกหลายประเด็น แต่เหตุผลที่ถูกบดบังด้วยบาดแผลทางใจที่ไม่เคยหันกับมามองก็อาจต้องลงเอยแบบ Sheldon ดังนั้น เมื่อเทียบกับคำตอบของลูกชายของเขาอย่าง Brandon หลังจากได้ลองฆ่าวายร้ายไปซักครั้ง เขากลับเริ่มมองเห็นว่าหลักการของพ่อไม่ได้เป็นเพียงการเห็นแก่ความเป็นมนุษย์ของวายร้ายแบบที่พ่อเขาเพร่ำบ่นเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฮีโร่แตกต่างจากวายร้ายอีกด้วย Brandon จึงดูเหมือนคนที่ผิดพลาดและเริ่มเข้าใจความจริงข้อนี้มากกว่าพ่อของเขา แต่อย่างไรก็ตาม Brandon ก็ยังได้รับบาดแผลจากพ่อของเขาที่ไม่ยอมรับในตัวเขาอยู่ดี เมื่อเทียบกับครอบครัวในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีใครเริ่มทำอะไร บาดแผลทางใจเหล่านี้ก็คงเป็นคำสาปที่ส่งต่อกันไปรุ่นสู่รุ่นอย่างแน่นอน

.


เจษฎา กลิ่นพูล

เพจ K. Therapeutist นักจิตวิทยาการปรึกษา

ดู 17 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comentarios


bottom of page