.
มองตัวเองในกระจก... ตั้งคำถามว่า"อะไรคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่?"... ถามคนในทวิตเตอร์แบบ Matt Haig... และอ่านหนังสือของเขา
"Reasons to stay alive" เป็นหนังสือที่ผมอ่านแล้วนึกถึงหนังที่เพิ่งแนะนำไปไม่นานมานี้ในชื่อ it's kind of a funny story
Haig ไม่ได้พูดว่าเขาหายจากโรคซึมเศร้าเช่นเดียวกัน เขาเล่าถึงประสบการณ์การเริ่มต้นเป็นโรคซึมเศร้าตั้งแต่ช่วงวัยหนุ่ม 20 กว่าๆ แต่การเขียนงานชิ้นนี้ในวัย 30 ปลายๆ (เห็นจะได้) เขาก็ยังคงพูดถึงโรคซึมเศร้าที่อยู่กับเขาและพร้อมเข้ามากัดกินเสมอยามที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอ
งานชิ้นนี้ของ Haig เป็นเหมือนไดอารี่ของคนป่วยเป็นโรคซึมเศร้าที่มีทั้งความสิ้นหวังไปพร้อมกับความหวัง อาจเพราะเขาเขียนหนังสือนี้ตอนที่เขา "ดีขึ้น" แล้ว เช่นที่เขาเขียนบทสนทนาเถียงกับตัวเองในอดีตว่าบางทีเขาก็ลืมช่วงเวลาที่เคยยากลำบากไปเหมือนกัน
แต่นั่นไม่ได้ทำให้งานเขียนของ Haig นี้ลดคุณค่าของมุมมองแบบผู้ป่วยซึมเศร้าลงไปเลย มันกลับทำให้เห็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งจนถึงขั้นมองเห็นภาพได้ว่าเขาผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้ยังไง .
เขาไม่ได้ตอบคำถามว่าอะไรคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ แต่เขากลับยกเหตุผลของคนในทวิตเตอร์มาเล่าให้ฟังในบทหนึ่งของหนังสือ ซึ่งมันมีทั้งเหตุผลที่ดูซึ้งกินใจราวคำคมของชีวิต ไปจนถึงเหตุผลง่ายๆ อย่างการมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลหมาหรือขนมปังไส้เบคอน
Haig ไม่ได้พูดถึงแค่มุมมองของคนเป็นโรคซึมเศร้า แต่เขายังบอกว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าและคนรอบๆ ข้างควรรับมือกับเรื่องยังไง
บางครั้งก็มาเป็น how to ข้อ 1-10+ หรือบอกว่าอะไรบ้างที่ทำให้คนเรารู้สึกดีและไม่ดีได้ในชีวิต (ทั้งที่ควรเป็นเรื่องปกติรึเปล่า?)
แต่บางครั้งก็เป็นปรัชญาแบบสไตล์นักคิดนักเขียน (ใครจะคิดว่าเขาเขียนเรื่องปรัชญาของพุทธศาสนาได้ดูดีกว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธเสียอีก!) .
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมคิดว่าคนที่ได้อ่านอาจเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจได้เช่นกันแม้คุณไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า
"อะไรคือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่?" หรือ "คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
สำหรับผมที่ได้เสพความคิดอ่านของ Haig แล้ว คงได้แต่ตอบว่า
"แค่เพื่อจะรู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่ได้ในทุกๆ วันก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานมากพอแล้ว" .
เก้าอี้ตัว J เจษฎา กลิ่นพูล นักจิตวิทยาการปรึกษา
Comments