top of page
ค้นหา

ปัญหาสุขภาพจิต กับ ชีวิตและความตาย

รูปภาพนักเขียน: Psychologist ChairPsychologist Chair

ยิ่งผมอ่านหนังสือของยาลอม (Irvin Yalom) ผมก็เริ่มคล้อยตามแนวคิดของเขาว่า


ความตายอาจเป็นเรื่องน่ากลัวมากที่สุดสำหรับมนุษย์


.


ยาลอมพยายามอธิบายว่า


ปัจจัยพื้นฐานของอาการจิตเวชต่างๆ ล้วนมาจาก “ความกลัวตาย” (fear of death) และความกลัวตายของเราก็นำมาสู่กลไกป้องกันตนเองทางจิต 2 รูปแบบ

ได้แก่


1. การตั้งตนเป็นคนพิเศษ (specialness) - การเชื่อว่าความตายนั้นจะเกิดขึ้นกับคนอื่นแต่ไม่เกิดขึ้นง่ายๆ สำหรับตัวเอง / จะเอาชนะความตายในทางอ้อมได้ด้วยการรักษาไว้ซึ่งความเยาว์


และ


2. การฝากความหวังไว้กับผู้ช่วยสูงสุด (believe in ultimate rescuser) - การไฝว่หาผู้ปกป้องตนจากอันตราย / ความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายที่มีพระเจ้าสูงสุด


.


กลไกป้องกันทางจิตทั้งสองอยู่บนพื้นฐานของการปฏิเสธความจริงของความตายในระดับจิตไร้สำนึก (denial-based defense) โดยเราต่างใช้กลไกทั้งสองแบบนี้ในการวางเนื้อหาของความตายไว้ห่างจากตัว เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้


ดังนั้น กลไกทางจิตแบบปฏิเสธความจริงของความตายจึงเป็นสิ่งจำเป็นในบางเวลา


.


ยังไงก็ตาม ความกลัวตายบางครั้งก็นำมาสู่การใช้กลไกป้องกันทางจิตนี้มากเกินไป

และความสุดโต่งของมันก็เป็นเหตุผลของอาการทางจิตเวชต่างๆ ตามมา


แม้แต่กับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าและพยายามฆ่าตัวตาย ในมุมมองของยาลอมยังเชื่อว่าพวกเขาต่างก็กลัวความตายในระดับจิตไร้สำนึก

ยาลอมสนับสนุนแนวคิดของเขาจากข้อสังเกตที่พบได้ทั่วไปว่า

คนที่พยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ (ทำแล้วไม่ตาย) ต่างรู้สึกโชคดีที่ยังมีชีวิตและเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาไปจากเดิม


ยาลอมเชื่อว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะผู้ป่วยเหล่านี้ได้เผชิญหน้ากับความตายที่อยู่ตรงหน้าจนเกิดการตระหนักถึงเนื้อหาของความตายที่ละเลยไป


ซึ่งสำหรับยาลอมแล้ว การฆ่าตัวตายจึงเป็นเหมือนหนึ่งในการป้องกันตนเองในระดับจิตไร้สำนึกจากความกลัวตายที่แฝงอยู่ โดยเป็นการพยายามนำเอาความตายมาอยู่ในการควบคุมของพวกเขาเอง


.


ยาลอมยังได้พยายามจำแนกปัญหาสุขภาพจิตที่อาจสอดคล้องกับกลไกป้องกันทางจิตเพื่อปกป้องจิตใจของเราจากความตายไว้อีกหลากหลายรูปแบบ และมันก็เป็นประเด็นของความกลัวตายที่ล้อไปกับความกลัวการมีชีวิต (fear of existence)

ยกตัวอย่างเช่น


คนที่เป็นโรคซึมเศร้าแบบพึ่งพิงบุคคลอื่น ก็อาจเป็นคนที่มีความกลัวตายแฝงอยู่ลึกๆ และใช้กลไกป้องกันทางจิตที่ฝากความหวังไว้กับผู้อื่นให้ปกป้องตน


ในขณะเดียวกัน พวกเขาต่างก็หวาดกลัวต่อการลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเองหลายครั้ง และอาจมองว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องน่าหวาดกลัวและเหน็ดเหนื่อย


ยาลอมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนเหล่านี้ เป็นความขัดแย้งที่หาทางออก (ประนีประนอม) ไม่ได้ระหว่างการมีชีวิตอยู่และความตาย ซึ่งแสดงออกมาในรูปแบบของการพึ่งพาตนเอง (เพราะชีวิตคือการยืนหยัดเพื่อตนเอง) ที่ขัดแย้งกับการพึ่งพาคนอื่น (เพราะการปล่อยให้ตัวเองไหลไปกระแสของคนรอบข้างตลอดเวลาก็ไม่ต่างอะไรกับการตายไปแล้ว)


.


หรือในอีกตัวอย่างหนึ่ง


ยาลอมมองว่าคนที่เป็นพวกบ้างาน (workaholic) ก็มีความกลัวตายเป็นแรงผลักดันในระดับจิตไร้สำนึก


โดยคนเหล่านี้อาจมีความรู้สึกหดหู่ทุกข์ทรมานกับการอยู่เฉยๆ หรือไม่ได้ทำอะไรที่สัมพันธ์กับคุณค่าในชีวิตของพวกเขา เพระามันอาจเปรียบดั่งการตายทั้งเป็น


การทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จึงเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของการมีชีวิตอยู่และความเยาว์วัย


แต่สำหรับคนบ้างานจนเรียกได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิต อาการบ้างานของพวกเขาอาจล้อไปกับความกลัวการมีชีวิตอยู่ด้วย


เพราะการจมตัวเองอยู่กับงานเพียงอย่างเดียวก็เปรียบเหมือนการหลีกหนีจากชีวิตในด้านอื่นๆ แม้จะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการรักษาความเยาว์เอาไว้ได้ แต่การทำงานอย่างไร้ตัวตนสำหรับคนรอบข้างก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตเช่นกัน


.


จากการสังเกตและรวบรวมข้อมูลของยาลอมจึงสรุปว่า การนำเอาประเด็นของความตายเข้ามาในการรับรู้ของคนเราและยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต อาจเป็นสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของคนคนหนึ่งได้


และจากข้อสังเกตของยาลอมกับคนไข้ของเขาก็พบว่า

คนไข้ของเขาหลายคนดูจะเปลี่ยนแปลงไปหลังจากได้เผชิญหน้ากับประเด็นของความตายอย่างตรงไปตรงมา เช่น อุบัติเหตุ การสูญเสีย ความเจ็บป่วย หรือแม้แต่อายุขัยที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน


.

.


เก้าอี้ตัว J

เจษฎา กลิ่นพูล

#เก้าอี้นักจิต

.

ที่มา: หนังสือ Existential Psychotherapy by Irvin Yalom



ดู 18 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page