.
ดรูอิก (Druig) เป็นตัวละครที่ผมชื่นชอบมากที่สุดในเรื่อง Eternal และคาดว่าเป็นตัวละครที่น่าชื่นชอบที่สุดของอีกหลายคน ดูเหมือนความน่าหลงใหลนี้ไม่ใช่เพราะพลังพิเศษของเขา แต่เป็นปรัชญาการใช้ชีวิตของเขาที่สะท้อนออกมาผ่านการตัดสินใจในแต่ละการกระทำของเขาต่างหาก
.
ในตอนแรกเริ่มดรูอิกเหมือนกับคนที่มีอุดมการณ์อย่างแรงกล้าในการปกป้องมนุษย์ หนังแทบจะทำให้เราเห็นว่าเขามีอุดมการณ์แบบนั้นอยู่มากแค่ไหน ตั้งแต่ในตอนที่เขาคิดแอบทดลองสะกดจิตเล่นๆ ให้คนเลิกทะเลาะกันแม้ว่านั่นจะขัดกับคำสั่งของกลุ่ม eternal จนกระทั่งฉากที่ชัดเจนมากที่สุดคือตอนที่เขาต้องการหยุดสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองทำให้ขัดแย้งกับอิคาริส และเดินออกจากกลุ่ม eternal ไป
.
แต่เมื่อเราดูจนจบจะพบว่าคนที่ยึดมั่นในเรื่องอุดมการณ์มากที่สุดคืออิคาริส และ eternal คนอื่นๆ ก็มีอุดมการณ์ในการปกป้องมนุษย์ที่ขัดกับอิคาริสด้วย กลับกัน ดรูอิกกลับกลายเป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ต่างๆ น้อยที่สุดสำหรับผม เขาแทบกลายเป็นคนที่ทำอะไรตามใจตัวเองขึ้นมาแทน แม้กระทั่งเมื่อเรานึกไปถึงการตัดสินใจออกจากกลุ่ม eternal ในตอนแรกด้วย
.
ระหว่างที่ดูหนัง เราจะได้เห็นฉากที่อิคาริสและดรูอิกประจันหน้ากันถึง 2 ครั้ง จนดูเหมือนว่านี่คือการขัดแย้งกันระหว่างคนที่มีอุดมการณ์คนละแบบ แต่ผมไม่คิดว่าดรูอิกเป็นคนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์มากขนาดนั้น เขาแค่คิดจะทำในสิ่งที่เขาอยากทำโดยไม่มาเสียเวลาเถียงกับคนอื่นว่าสิ่งที่เขาคิด/เชื่อจะถูกต้องหรือไม่
.
ในฉากที่เหล่า eternal รู้ความจริงว่าพวกเขาถูกส่งมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ขยายประชากร และต้องปล่อยให้มนุษย์ตายเพื่อการกำเนิดของ celestial ตนใหม่ เหล่า eternal ที่ขัดแย้งกันอันเริ่มมาจากอิคาริสต่างต้องคิดว่าตัวเองจะเลือกหนทางไหนจึงคุ้มค่ามากกว่ากัน (สังเกตได้จากคำถามกลายๆ ว่า มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะปกป้องมนุษย์บนโลกเพื่อแลกกับจักรวาลที่จะเกิดอีกนับล้าน)
.
เมื่อเหล่า eternal คนอื่นๆ ต้องการให้เซอซีตัดสินใจในฐานะผู้นำคนใหม่ว่าจะเอาอย่างไรกับการตัดสินใจนี้ ดรูอิกแทบจะเป็นคนเดียวที่ไม่บีบบังคับให้เซอซีทำในสิ่งที่เธอยังไม่มั่นใจ (จะเห็นได้ว่าแม้แต่เซอซีเองยังมีสีหน้าประหลาดใจเพราะคนอื่นๆ เอาแต่คะยั้นคะยอให้เธอตัดสินใจ แต่ดรูอิกกลับยอมรับการตัดสินใจของเธออย่างหน้าตาเฉย)
.
ในฉากนั้นเองที่ทำให้เราเห็นว่าดรูอิกไม่ได้สนใจมากนักว่าจะต้องช่วยเหลือมนุษย์ให้ได้ 100% เหมือนคนอื่นๆ เขาแค่รู้สึกว่าเขาต้องการทำในสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าต้องทำ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าพลังของเขาอาจจะทำให้ celestial หลับไม่ได้ แต่เขาก็ยังเลือกจะทำอย่างเต็มที่ในสิ่งที่เขาทำได้อยู่ดี
.
คำพูดที่เซอซีบอกกับดรูอิกว่า "เธอสูงส่งกว่านั้น" ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย ดรูอิกเป็นคนที่ดูจะเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะกฎของการเป็นผู้ล่าและเหยื่อ เขาสามารถปล่อยให้มนุษย์ทุกคนตายได้ในทุกโอกาสตรงหน้าเพราะเขาไม่จำเป็นต้องแยแสกฎธรรมชาติเหล่านี้ (ลองคิดภาพว่าเขาสามารถสะกดจิตให้มนุษย์สู้กับดีเวียนจนตัวตายได้หากเซอซีไม่ขอร้องเขา)
.
ถึงแม้ว่าพลังพิเศษของดรูอิกจะดูเหมือนไม่ได้หวือหวาคล้ายกับคนอื่นๆ ดังเช่นพลังของเซอซีที่สามารถเปลี่ยนน้ำเป็นไวน์ได้เหมือนพระเยซู แต่พลังพิเศษของดรูอิกดูจะคล้ายกับพระเจ้าที่เกือบทุกคนปรารถนาในความเป็นจริง นั่นเพราะเราหลายคนต่างปรารถและสวดอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยเหลือโลกเพื่อหลุดพ้นจากสงคราม หลุดพ้นจากกิเลส และหลุดพ้นจากความขัดแย้งทุกอย่าง
.
ดรูอิกก็ได้ตอบเราในหนังเรื่องนี้เช่นกันว่าเขาสามารถทำแบบนั้นได้ แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ทำมัน โดยเหตุผลที่เขาให้ว่า 'ถ้าทำแบบนั่นก็เหมือนเราเอาความเป็นมนุษย์ออกไปด้วย' ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลขึ้นมาเมื่อเราเข้าใจดีว่ามนุษย์นั้นประกอบด้วยทั้งด้านที่ดีและไม่ดีเสมอ มันจึงเป็นการยอมรับแบบกลายๆ ถึงความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์
.
ท้ายที่สุดผมคิดว่าถ้าพระเจ้ามีจริงก็คงมีหน้าตาที่ไม่ได้ต่างจากดรูอิก เพราะถึงแม้เขาจะมีพลังที่ลบล้างความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำมันด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าความไม่สมบูรณ์แบบก็คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์อย่างทุกวันนี้
.
เจษฎา กลิ่นพูล
K. Therapeutist นักจิตวิทยาการปรึกษา
Comentarios